วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สถาปนิก คือ...


สถาปนิก
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถาปนิก คือบุคคลผู้เกี่ยวข้องในการออกแบบ และ วางแผน ใน
การก่อสร้าง หรือที่เรียกว่างานสถาปัตยกรรม โดยสถาปนิก จะเป็นผู้ที่เข้าใจในมาตรฐานการก่อสร้างของอาคาร เข้าใจถึงหน้าที่ใช้สอยของอาคารนั้น รวมถึงวัสดุที่จะนำมาเป็นส่วนประกอบของสิ่งก่อสร้างนั้น สถาปนิกจำเป็นต้องได้รับการศึกษาทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม ถึงจะสามารถทำงานในวิชาชีพสถาปนิกได้ ซึ่งคล้ายกับการทำงานในสาขาวิชาชีพอื่น
สถาปก คำเก่าของคำว่าสถาปนิก ได้รับพระราชทานจาก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นศัพท์ภาษาสันสกฤต หมายถึง ผู้สร้าง, ผู้ก่อตั้ง ในเอกสารโบราณก่อนสมัยรัตนโกสินทร์เคยปรากฏคำ "สถาบก" หมายถึง การสร้าง หรือผู้สร้าง
รางวัลที่น่ายกย่องของสถาปนิกที่รู้จักในฐานะผู้ก่อสร้างอาคารได้แก่
รางวัลพลิตซ์เกอร์ ซึ่งมักจะถูกเปรียบเทียบเหมือนกับ "รางวัลโนเบลในทางสถาปัตยกรรม"
หน้าที่ของสถาปนิกกับโครงการก่อสร้างในยุคปัจจุบัน
ในรูปแบบที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ สถาปนิกจะทำสัญญากับเจ้าของโครงการ(Owner) โดยรับหน้าที่เป็นผู้ให้บริการวิชาชีพ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการก่อสร้าง ผ่านทางการออกแบบ(Building Design) และการทำแเบบก่อสร้าง(Construction Document) สถาปนิกจะมีที่ปรึกษาผู้ให้คำแนะนำในเรื่องเทคนิคระดับซับซ้อนคือ วิศวกร ซึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละแขนงเกี่ยวกับการก่อสร้าง
โดยทั่วไปสำหรับโครงการขนาดกลาง วิศวกรเหล่านี้จะประกอบด้วย วิศวกรโครงสร้าง (Structural Engineer) วิศวกรโยธา (Civil Engineer) วิศวกรไฟฟ้า (Electrical Engineer) วิศวกรประปา (Plumbing Engineer) และ วิศวกรเครื่องกล (Mechanical Engineer) นอกจากนี้อาจจะมีที่ปรึกษาอื่นๆที่สำคัญ เช่น มัณฑนากร(Interior Designer) และ ภูมิสถาปนิก (Landscape Architect)เป็นต้น
นักวิชาชีพทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกันเป็นทีม ผ่านการประสานงานของสถาปนิก ซึ่งเป็นผู้นำของทีม (Team Leader)และผู้ติดต่อประสานงานระหว่างทีม(Coordinator)เพราะที่ปรึกษาอื่นๆ จะไม่มีใครเข้าใจภาพรวมของโครงการเท่าสถาปนิก
ด้วยสาเหตุของความเข้าใจในโครงการที่มากกว่าสมาชิกในทีมคนอื่นๆ ทำให้สถาปนิกเป็นผู้ที่ติดต่อกับเจ้าของโดยตรงในการทำโครงการ นักวิชาชีพในทีมคนอื่นๆ ที่ต้องการติดต่อกับเจ้าของมักจะทำผ่านสถาปนิก หรือในบางกรณีสถาปนิกจะไม่อนุญาตให้สมาชิกในทีมคนอื่นๆ ติดต่อกับเจ้าของโดยตรงเลย เพราะจะเป็นการเกิดความสับสนในระบบการประสานงานและปฏิบัติการ
ถ้านักวิชาชีพเหล่านี้ทำสัญญาการว่าจ้างกับสถาปนิก สถาปนิกจะมีสถาณภาพเป็นผู้นำของทีมออกแบบ (Leader) แต่ถ้านักวิชาชีพเหล่านี้ทำสัญญาโดยตรงกับเจ้าของ สถาปนิกจะมีสภาณภาพเป็นผู้ประสานงาน (Coordinator) โดยส่วนใหญ่สถาปนิกจะทำสัญญาว่าจ้างกับนักวิชาชีพเหล่านี้เพื่อจะได้เกิดการควบคุมคุณภาพและสั่งการโครงการได้สะดวก แต่ในบางกรณี สถาปนิกอาจจะต้องการหลีกเลี่ยงการทำสัญญากับนักวิชาชีพเหล่านี้ โดยเฉพาะถ้าเป็นโครงการที่ใหญ่เป็นพิเศษที่สถาปนิกต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก อาจเกิดความเสี่ยงต่อการรับผิดชอบความเสียหาย (Liability)มากจนไม่คุ้มกับค่าบริการวิชาชีพที่จะได้รับ สถาปนิกจะแนะนำให้เจ้าของโครงการทำสัญญาโดยตรงกับนักวิชาชีพเหล่านั้น
อีกด้านหนึ่ง เจ้าของโครงการ (Owner) จะทำสัญญากับผู้รับเหมาก่อสร้าง (Contractor) เพื่อให้ทำการก่อสร้าง ตามแบบก่อสร้าง (Construction Documents)และ รายการประกอบแบบ (Specification) ที่สถาปนิกและทีมผู้ช่วยทั้งหลายได้ทำการออกแบบ
ขั้นตอนการให้บริการวิชาชีพของสถาปนิก
สถาปนิกจะทำการบริการวิชาชีพตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ออกแบบเบื้องต้น (Schematic Design)
2. ออกแบบรายละเอียด (Design Development หรือ DD)
3. ทำแบบก่อสร้าง (Construction Document)
4. การประมูลและเจรจาต่อรอง (Bidding and Negotiation)
5. บริหารงานก่อสร้าง (Construction Administration)
ในบางโครงการ อาจจะมีการเข้าไปรับงานเป็นทีม โดยเจ้าของทำสัญญากับทีมก่อสร้างเพียงสัญญาเดียว ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้รับเหมาก่อสร้าง สถาปนิก และ ที่ปรึกษาอื่นๆ รวมตัวกันเป็นหนึ่ง โดยการทำสัญญาโดยตรงนี้ จะเรียกว่า เป็นการบริการแบบ ดีไซน์บิลด์ (Design Build)
ขอบเขตงานของสถาปนิก
สถาปนิกในปัจจุบันได้มีการขยายขอบเขตการประกอบวิชาชีพไปในหลายๆ ด้านที่เป็นแนวทางเฉพาะ เช่น
1. งานด้านออกแบบ (Design)
2. งานด้านการบริหารโครงการ (Construction Management)
3. งานด้านการบริหารการใช้พลังงานในอาคาร (Building Energy Management)
4. งานด้านการออกแบบการให้แสง (Lighting Design)
5. งานด้านบริหารจัดการอาคาร (Facility Management)
6. งานด้านอนุรักษ์ (Preservation)
7. งานตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของอาคาร (Building Inspection)

GREEN ARCH




สถาปัตยกรรมสีเขียวเป็นผลผลิตจากกระแสความคิดใหม่ในการออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีรากฐานมาจากสถาปัตยกรรมยั่งยืน (Sustainable Architecture) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่เกิน 20 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แนวทางการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานด้วยวิธี Passive Design ในยุโรปและอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จ กระแสความคิดของสถาปัตยกรรมสีเขียวเกิดขึ้นได้ มิใช่เพราะการขาดแคลนพลังงานแต่เป็นเพราะปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่นปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ปรากฎการณ์หลุมโอโซน (Ozone Hole) เกาะความร้อน (Urban Heat Island) ฝนกรด (Acid Rain) การทำลายป่า (Deforestation) รวมทั้งการแพร่กระจายของโรคติดต่ออันเกิดจากสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนไป (Climate Change) ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าการบริโภคพลังงานจากแหล่งพลังงานดั้งเดิมเช่นถ่านหิน หรือน้ำมันดิบ ก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลก และก๊าซนี้จะทำให้ความร้อนจากผิวโลกไม่สามารถแผ่รังสีกลับสู่อวกาศได้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อน (Global Warming) ปัญหาโลกร้อนจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกสารพัด โดยเฉพาะภาคการเกษตร ในประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศไทยจะได้รับผลกระทบรุนแรงมาก จะเห็นว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่กว้างและซับซ้อนเกินกว่าวิชาความรู้แขนงใดแขนงหนึ่งจะเข้าแก้ไขได้ ดังนั้นการสร้างสถาปัตยกรรมสีเขียว จึงต้องอาศัยบูรณาการของวิชาความรู้ทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์อาคาร (Building Science) การวางผังเมือง การบริหารการก่อสร้าง โดยกรอบความคิดของสถาปัตยกรรมสีเขียวก็คือประโยคง่ายๆที่ทุกคนมักจะพูด –“Human beings should live in harmony with nature” แล้วสถาปัตยกรรมในประเทศเกษตรกรรม ที่ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีน้ำมันอย่างประเทศไทย จะทำอย่างไรกัน? ใครจะเป็นผู้เริ่มต้น? รัฐบาล? ผู้ประกอบการ? สถาปนิก? หรือวิศวกร?
ทางด้านอาคารสิ่งปลูกสร้าง ได้เกิดกระแสของสถาปัตยกรรมยั่งยืน (Sustainable Architecture) ขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “Embodied Energy” ที่มีการคำนึงถึงการใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่ใช้พลังงานน้อย ทั้งในแง่การผลิต (Production) การก่อสร้าง (Construction) และการย่อยสลาย (Disposition) แต่อย่างไรก็ดี Embodied energy มีสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับพลังงานที่อาคารใช้ตลอดช่วงอายุการใช้งาน และนอกจากนี้คำว่า “สถาปัตยกรรมยั่งยืน” ก็มีความหมายคลุมเครือ ไม่ชัดเจน และมีความขัดแย้งในตัวเองว่าสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นต่างก็ไม่มีความยั่งยืนทั้งนั้น แต่หรือถ้ามี ก็ควรจะมีความยั่งยืนเพียงใด
ดังนั้นจึงเกิดคำว่า อาคารสีเขียว ขึ้นโดยได้นำเอาเรื่อง “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” (Appropriate Technology) และแนวคิดการออกแบบ Passive Design (ทั้ง Passive Cooling และ Passive Solar Heating) ในสมัย 1970 เข้ามาประกอบด้วยอย่างชัดเจน โดยความหมายของ อาคารสีเขียวนี้ ก็คือ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้อาคารสามารถใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติ (แสงแดด, ลม, ดิน, น้ำ, พืชพันธ์, สัตว์) ด้วยวิธี Passive อย่างเต็มที่และใช้วิธี Active เท่าที่จำเป็น” (Daniels, K. 1995)
ถ้าหากจะมองหลักการของ Passive design ในสมัยทศวรรษที่ 70 ที่เทคโนโลยีอาคารยังไม่เจริญนัก ให้เป็นแม่แบบของอาคารสีเขียว จะพบว่าการออกแบบให้ตอบรับกับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบายยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบอาคารสีเขียว เพียงแต่เป้าหมายมิใช่เพียงแค่การลดการใช้พลังงานอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เป้าหมายของอาคารสีเขียวที่เพิ่มมาก็คือการผสมผสานองค์ความรู้จาก Passive design เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของศตวรรษที่ 20 ในการที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติที่สะอาด และไม่มีวันหมดโดยตรง ในอีกความหมายหนึ่งก็คืออาคารสีเขียวจะไม่พยายามเสนอแนะการลดการใช้พลังงานหากพลังงานนั้นมีความจำเป็นต่อการผลิตหรือการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่จะเสนอแนะให้อาคารใช้พลังงานจากแหล่งที่สะอาด และไม่มีวันหมดไป (renewable energy) ซึ่งในเบื้องต้น อาคารสีเขียวจึงจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้
1) ความสอดคล้องกับสภาพอากาศ
กฎเกณฑ์ข้อแรกของคำว่า “สถาปัตยกรรม” ที่สถาปนิกอาชีพล้วนได้เคยศึกษาเล่าเรียนมาจากโรงเรียน ล้วนจะต้องประกอบด้วยการออกแบบให้ตอบสนองต่อสภาพอากาศ (Climate Responsiveness) การสอดคล้องกับสภาพอากาศหมายถึงการออกแบบจัดวางพื้นที่ใช้สอยอาคาร ตามทิศทางแดด ทิศทางลมธรรมชาติ และการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างตกแต่งที่ทำให้ “อาคาร” น่าสบาย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ชื้น ไม่แห้งเกินไป ก่อนที่จะเริ่มอาศัยเครื่องจักรกลที่บริโภคพลังงาน ซึ่งหมายถึงการออกแบบ Passive Design นั่นเอง ซึ่งปัจจุบัน หลักการออกแบบให้ตอบสนองต่อสภาพอากาศในโรงเรียนสถาปัตยกรรมในประเทศไทย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเพียงการเรียนการสอนเพื่อให้รู้และท่องจำทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่ได้เน้นในวิชาปฏิบัติการออกแบบเท่าใดนัก สาเหตุส่วนหนึ่งคือการที่ทั้งอาจารย์และนักศึกษา สถาปัตย์ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาตร์อย่างเพียงพอที่จะเข้าใจวิธีการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพอากาศนั่นเอง
2) ความน่าสบาย
มีหลายครั้งที่ความพยายามประหยัดพลังงานอย่างไม่อาศัยสติปัญญา คือการงดใช้พลังงานทั้งทีจำเป็นต้องใช้ ซึ่งพบได้ทั่วไปในหน่วยงานราชการของรัฐ ก่อผลเสียตามมาที่ทำให้อาคารไม่น่าสบาย ร้อนเกินไป หนาวเกินไป แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดังรบกวน หรือคุณภาพอากาศภายในไม่สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักศึกษา แล้วยังมีผลเสียทางเศรษฐกิจจากการที่อาคารและอุปกรณ์อาคารมิได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ตามที่ได้ลงทุนก่อสร้างสูญเสียทรัพยากรลงไปตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้ องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมสีเขียวจึงต้องกำหนดให้อาคารมีการรักษาสภาวะน่าสบายของมนุษย์ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้
·สภาวะน่าสบายเชิงอุณหภาพ (Thermal comfort) ·แสงสว่าง (Visual/lighting comfort) ·เสียง (Acoustical comfort) ·คุณภาพอากาศภายใน (Indoor air quality: IAQ)
3) การใช้พลังงานธรรมชาติ
นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้อาคารบ้านเรือนเลือกใช้พลังงานจากแหล่งน้ำมันดิบที่ทำลายสภาพแวดล้อมดังกล่าวแล้ว สถาปัตยกรรมสีเขียวจึงมุ่งส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานจากธรรมชาติแหล่งอื่น ๆ มาแทนที่พลังงานสกปรก ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว พลังงานจากดวงอาทิตย์จำนวนมหาศาลได้เข้ามาสะสมบนโลก และรอให้ถูกนำมาใช้เพียงแต่การนำมาใช้อาจจะต้องอาศัยองค์ความรู้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้แหล่งพลังงานที่อาคารสามารถนำมาใช้ได้มักจะเป็นพลังงานที่หาทดแทนได้ (Renewable Energy) ซึ่งจะได้แก่
·พลังงานแสงอาทิตย์ (ด้วยการใช้รังสีจากดวงอาทิตย์เพื่อให้ความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้า) ·พลังงานจากน้ำ (จากการผลิตกระแสไฟฟ้า และการใช้เป็นแหล่งความร้อน/ความเย็น) ·พลังงานจากดิน (จากการสะสมความร้อนในดิน) ·พลังงานลม (จากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยตรงและการเพิ่มสภาวะน่าสบายด้วย ventilation) ·พลังงานจากพืชพันธ์ (จากการกันแดดและการระเหยของน้ำเพื่อสร้างความเย็น) ·พลังงานจากสัตว์ มูลสัตว์ (จากการสร้างพลังงานชีวมวล–Biomass)

การออกแบบบ้านให้ประหยัดพลังงาน




แนวความคิดและหลักการออกแบบ


แนวความคิดและหลักการออกแบบบ้านอยู่สบายประหยัดพลังงานทั้ง 3 รูปแบบนั้น เป็นการประยุกต์วิธีการ ประหยัดพลังงานผ่านแนวความคิดในการออกแบบไปสู่กระบวนการออกแบบทางสถาปัตยกรรม โดยมีผลปรากฏเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถสรุปผลการออกแบบได้ตามปัจจัยที่ต้องคำนึงด้านการประหยัดพลังงาน ได้ดังนี้ คือ


1. การจัดวางตำแหน่งพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมในที่ดินขนาดเล็ก และคำนึงถึงการได้รับประโยชน์จากการระบายอากาศตามธรรมชาติ


2. การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมเพื่อลดการนำความร้อน โดยพิจารณาเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกันในส่วนของพื้นที่ที่ปรับอากาศและไม่ปรับอากาศ


3. การออกแบบรั้วโปร่งเพื่อการระบายอากาศที่ดีและการจัดเตรียมที่เก็บขยะที่ถูกสุขลักษณะ


4. การออกแบบโดยใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม



5. การป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคาร




6. การออกแบบให้มีช่องระบายความร้อนใต้หลังคา




7. ระบบไฟฟ้าและแสงสว่างสำหรับอาคาร ซึ่งนอกจากการใช้หลักการออกแบบทางสถาปัตยกรรมที่จะช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารและสร้างความอยู่สบายแล้วนั้น การเลือกใช้วัสดุที่เป็นฉนวนให้กับอาคาร การเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง เช่น หลอดประหยัดไฟประเภทหลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และบัลลาสต์กำลังสูญเสียต่ำ (Low Loss Ballast) สามารถช่วยให้บ้านอยู่สบายประหยัดพลังงานทั้ง 3 รูปแบบ มีค่าไฟฟ้าลดลงได้ประมาณ 5,000-9,350 บาท/ ปี/ หลัง นอกจากนี้ยังได้มีการเตรียมการในเรื่องความปลอดภัย ได้แก่ การกำหนดให้มีการติดตั้งตำแหน่งไฟฟ้าส่องสว่างที่รั้วบ้านในยามค่ำคืน รวมไปถึงการติดตั้งไฟฟ้าฉุกเฉินเผื่อกรณีไฟฟ้าเกิดดับกระทันหัน

หลังคาเขียว GREEN ROOF

“หลังคาเขียว” (Green roof) คือหลังคาของอาคารที่ปิดทับบางส่วนหรือทั้งหมดด้วยพืชพรรณและดิน หรือเครื่องปลูกอย่างอื่นบนชั้นแผ่นกันน้ำ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหลังคาที่ทาด้วยสีเขียว หรือวัสดุมุงสีเขียวใดๆ หลังคาเขียวอาจรวมส่วนประกอบอื่น เช่นแผ่นชั้นกันราก ระบบระบายน้ำและระบบรดน้ำต้นไม้
สวนกระถางที่จัดบนหลังคาซึ่งต้นไม้ปลูกในกระถางอิสระไม่นับเป็น “หลังคาเขียว” ที่แท้จริงในความหมายนี้ แม้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันได้อยู่
คำว่า “หลังคาเขียว” อาจใช้กับหลังคาที่ใช้เทคโลโลยี “เขียว” บางรูปแบบ เช่น
แผงผลิตไฟฟ้าจากพลังสุริยะด้วยก็ได้ หลังคาเขียวอาจหมายถึงหลังคาแบบอื่น เช่น หลังคานิเวศ (eco-roofs) หลังคามีชีวิต (living roofs) ที่มีเป้าหมายของแนวคิดเดียวกัน
ปัจจุบัน ประโยชน์ของหลังคาเขียวได้ถูกนำมาใช้เป็นมาตรการหนึ่งทาง
สถาปัตยกรรมและการผังเมืองเพื่อช่วยบรรเทาปรากฏการณ์โลกร้อน
ประเภทของหลังคาเขียว
หลังคาเขียวอาจจำแนกได้เป็นแบบดูแล (intensive) หรือแบบกึ่งดูแล (semi-intensive) หรือแบบปล่อย(extensive) ขึ้นอยู่กับขนาดความลึกของดินปลูกและความต้องการในการดูแลรักษา สวนหลังคาทั่วไปซึ่งต้องการใช้ความลึกของดินปลูกมากพอควรเพื่อใช้ปลูกต้นไม้และปลูกหญ้าสนามแบบทั่วไปซึ่งนับเป็นสวนที่ต้องการการดูแลรักษาสูง ต้องการระบบการให้น้ำที่เพียงพอ ต้องการปุ๋ยและการดูแลรักษาอีกหลายอย่าง ต่างกับหลังคาเขียวแบบปล่อยที่ออกแบบให้ดูแลตนเองและต้องการการดูแลรักษาต่ำสุด ซึ่งอาจเป็นการกำจัดวัชพืชปีละครั้ง หรือให้ปุ๋ยชนิดปลดปล่อยช้าเพื่อเสริมการเจริญเติบโตบ้าง พืชพรรณที่ใช้กับหลังคาเขียวแบบปล่อยสามารถขึ้นได้บน “ดินปลูก” (ส่วนใหญ่เป็นดินผสมปุ๋ยหมักสูตรเฉพาะ)ที่ตื้น หรือแม้แต่ใช้แผ่นใยหิน (rock wool) ธรรมชาติ (ที่ไม่ใช่แอสเบสตอส) หรือใยหินสังเคราะห์ที่ใช้ทำฉนวนความร้อนที่ปูลงบนหลังค่าที่ทำระบบกันน้ำซึมไว้ดีแล้วได้โดยตรง ซึ่งต้นเซดัม (Sedum sp.) หรือพรรณไม้ประเภทอวบน้ำและมอสสามารถขึ้นได้ดี
ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งของหลังคาเขียวคือ หลังคาเขียวแบบลาดเอียง กับ หลังคาเขียวแบบแบนราบ หลังคาเขียวแบบลาดเอียงเป็นแบบตาม
สถาปัตยกรรมประเพณีของสแกนดิเนเวียซึ่งมักเป็นการออกแบบที่ง่ายกว่าแบบแบนราบ ทั้งนี้เนื่องจากหลังคาเอียงน้ำไหลได้ดีกว่า ปัญหาการรั่วซึมเข้าไปในโครงสร้างหลังคาจึงมีน้อยกว่าจึงสิ้นเปลืองค่าป้องกันการซึมและการระบายน้ำน้อยกว่า

หลังคาเขียวในประเทศไทย
ประเทศไทยมีสวนหลังคามานานแล้ว โดยเฉพาะในย่านในเมืองหนาแน่น ด้วยการนำต้นไม้มาปลูกในภาชนะหรือกระถางบนดาดฟ้า แต่สวนหลังคาที่จงใจออกแบบให้เป็นสวนหลังคาตั้งแต่แรกและมีการจัดเผื่อการรับน้ำหนัก การกันน้ำซึมและอื่นๆ ไว้ก่อนเพิ่งเกิดขึ้นประมาณ 25-30 ปีที่ผ่านมาแต่มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อความสวยงามและเพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ดาดฟ้า การใช้ในเชิงของหลังคาเขียวหรือเชิงการช่วยลดค่าการส่งผ่านความร้อนจากหลังคา (RTTV) โดยเฉพาะยังไม่ปรากฏชัดเจน สวนหลังคาที่อาจตรงเกณฑ์มากที่สุดและจัดหลังคาเขียวได้แห่งหนึ่งได้แก่หลังคาอาคารชุดพักผ่อนโครงการการ์เดนคลิฟ 2 ที่พัทยา ชลบุรีซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ. 2524 แม้จะไม่ได้ออกแบบตั้งแต่แรกเพื่อบรรเทาปรากฏการณ์โลกร้อนแต่เป็นการเปิดวิวทะเลและลดความน่าเกลียดเมื่อมองจากตัวอาคารหลักที่เป็นอาคารสูงในโครงการเดียวกัน หลังคาเขียวแห่งนี้หากจัดประเภทตามเกณฑ์ อาจจัดให้อยู่ในหลังคาเขียวแบบ "กึ่งปล่อย" (Semi-intensive) ได้เพราะดูแลรักษามีเพียงการตัดหญ้าและให้น้ำ
เศรษฐกิจฟองสะบู่ซึ่งก่อตัวขึ้นประมาณ 15 ปีที่ผ่านมามีส่วนทำให้ที่ดินราคาสูงขึ้นมาก ทำให้มีสวนหลังคาเกิดขึ้นตามโครงการต่างๆ ในย่านหนาแน่นมากจนเป็นปกติ แต่การสร้างหลังคาเขียวเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อนโดยเฉพาะยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน การทำหลังคาเขียวเพียงเพื่อการลดความร้อนผ่านทางหลังคายังมีน้ำหนักไม่พอในเชิงของการคุ้มทุนและการดูแลรักษา การบูรณาการประโยชน์ใช้สอยและความงามเข้าไปด้วยอาจเป็นวิธีที่ได้ผล การยกปรากฏการณ์โลกร้อนมาเป็นเกณฑ์ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)นับเป็นสิ่งที่ดี มาตรการ "ปลูกต้นไม้ 1 ต้นต่อเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน?" อาจเป็นไปได้ยากในเมือง แต่หากใช้ "หลังคาเขียว" มาใช้เป็นเกณฑ์เสริมก็อาจช่วยให้เกิดความเป็นไปได้มากขึ้น
ข้อเสียของหลังคาเขียว
หลังคาเขียวต้องการโครงสร้างที่แข็งแรงมากขึ้นกว่ามาตรฐานหลังคาธรรมดา อาคารเดิมบางหลังไม่สามารถปรับหลังคาเป็นหลังคาเขียวได้เนื่องจากน้ำหนักของดินปลูกและพืชพรรณที่เพิ่มเกินจากน้ำหนักที่ได้คำนวณไว้ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาซึ่งผันแปรมากน้อยไปตามประเภทของหลังคาเขียว
ค่าก่อสร้างหลังคาเขียว
หลังคาเขียวที่ออกแบบและก่อสร้างถูกต้องจะตกประมาณตั้งแต่ 50 เหรียญสหรัฐ (ในยุโรป) ไปจนถึง 350 เหรียญสหรัฐ (อย่างสูงในสหรัฐ) ต่อตารางเมตร ค่าก่อสร้างมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของหลังคาอาคาร และชนิดของพืชพรรณที่สามารถขึ้นได้ในวัสดุที่อยู่บนหลังคา จอร์ก บรูนิงได้กล่าวถึงปัญหาเรื่องลมและไฟบนหลังคาเขียวแบบปล่อย รวมทั้งวิธีที่บริษัทประกันเยอรมันจัดการกับหลังคาเขียวแบบปล่อยไว้ในบทความของเขาในหน้า 12 ของ “วาสารกรีนรูฟอินฟราสตรักเจอร์มอนิเตอร์” ของเว็บไซต์ หลังคาเขียวเพื่อสุขภาพของเมือง
ค่าใช้จ่ายบางส่วนอาจขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา หลังคาเขียวแบบปล่อยมีค่าดูแลรักษาต่ำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องดูแล นักวิจัยเยอรมันได้วิเคราะห์หาตัวเลขเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดการกับวัชพืชที่ไม่ต้องการออกมาโดยประมาณได้ 0.1 นาที/(ตารางเมตร*ปีค่าใช้จ่ายรวมค่าใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มดอกและการคลุมของพืชอวบน้ำ แต่ถ้าไม่ต้องการหรือไม่จำเป็นต้องมีความสวยงามก็ไม่ต้องมีการดูแลและใส่ปุ๋ย ปุ๋ยที่จะใช้กับหลังคาเขียวจำเป็นต้องเป็นชนิดควบคุมการละลายเพื่อป้องกันมลภาวะกับน้ำฝนที่ระบายออกมาสู่ระบบสาธารณะ ไม่ควรใช้ปุ๋ยชนิดธรรมดากับพืชพรรณของหลังคาเขียวแบบปล่อย การศึกษาของเยอรมันดังกล่าวได้ประมาณการความต้องการธาตุอาหารสำหรับพืชพรรณหลังคาเขียวไว้ที่ 5 กรัมไนโตรเจน/ตารางเมตร และที่สำคัญยิ่งคือ จะต้องใช้สารตั้งต้นชนิดที่ไม่อุ้มสารอาหารได้มาก แนวทาง FLL ได้กำหนดส่วนประกอบสารอาหารมากสุดที่ยอมให้ได้สำหรับสารตั้งต้นไว้แล้ว