
สถาปัตยกรรมสีเขียวเป็นผลผลิตจากกระแสความคิดใหม่ในการออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีรากฐานมาจากสถาปัตยกรรมยั่งยืน (Sustainable Architecture) ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่เกิน 20 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แนวทางการออกแบบอาคารประหยัดพลังงานด้วยวิธี Passive Design ในยุโรปและอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จ กระแสความคิดของสถาปัตยกรรมสีเขียวเกิดขึ้นได้ มิใช่เพราะการขาดแคลนพลังงานแต่เป็นเพราะปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่นปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ปรากฎการณ์หลุมโอโซน (Ozone Hole) เกาะความร้อน (Urban Heat Island) ฝนกรด (Acid Rain) การทำลายป่า (Deforestation) รวมทั้งการแพร่กระจายของโรคติดต่ออันเกิดจากสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนไป (Climate Change) ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าการบริโภคพลังงานจากแหล่งพลังงานดั้งเดิมเช่นถ่านหิน หรือน้ำมันดิบ ก่อให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศโลก และก๊าซนี้จะทำให้ความร้อนจากผิวโลกไม่สามารถแผ่รังสีกลับสู่อวกาศได้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อน (Global Warming) ปัญหาโลกร้อนจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกสารพัด โดยเฉพาะภาคการเกษตร ในประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศไทยจะได้รับผลกระทบรุนแรงมาก จะเห็นว่าปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่กว้างและซับซ้อนเกินกว่าวิชาความรู้แขนงใดแขนงหนึ่งจะเข้าแก้ไขได้ ดังนั้นการสร้างสถาปัตยกรรมสีเขียว จึงต้องอาศัยบูรณาการของวิชาความรู้ทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์อาคาร (Building Science) การวางผังเมือง การบริหารการก่อสร้าง โดยกรอบความคิดของสถาปัตยกรรมสีเขียวก็คือประโยคง่ายๆที่ทุกคนมักจะพูด –“Human beings should live in harmony with nature” แล้วสถาปัตยกรรมในประเทศเกษตรกรรม ที่ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีน้ำมันอย่างประเทศไทย จะทำอย่างไรกัน? ใครจะเป็นผู้เริ่มต้น? รัฐบาล? ผู้ประกอบการ? สถาปนิก? หรือวิศวกร?
ทางด้านอาคารสิ่งปลูกสร้าง ได้เกิดกระแสของสถาปัตยกรรมยั่งยืน (Sustainable Architecture) ขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “Embodied Energy” ที่มีการคำนึงถึงการใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่ใช้พลังงานน้อย ทั้งในแง่การผลิต (Production) การก่อสร้าง (Construction) และการย่อยสลาย (Disposition) แต่อย่างไรก็ดี Embodied energy มีสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับพลังงานที่อาคารใช้ตลอดช่วงอายุการใช้งาน และนอกจากนี้คำว่า “สถาปัตยกรรมยั่งยืน” ก็มีความหมายคลุมเครือ ไม่ชัดเจน และมีความขัดแย้งในตัวเองว่าสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นต่างก็ไม่มีความยั่งยืนทั้งนั้น แต่หรือถ้ามี ก็ควรจะมีความยั่งยืนเพียงใด
ดังนั้นจึงเกิดคำว่า อาคารสีเขียว ขึ้นโดยได้นำเอาเรื่อง “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” (Appropriate Technology) และแนวคิดการออกแบบ Passive Design (ทั้ง Passive Cooling และ Passive Solar Heating) ในสมัย 1970 เข้ามาประกอบด้วยอย่างชัดเจน โดยความหมายของ อาคารสีเขียวนี้ ก็คือ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้อาคารสามารถใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติ (แสงแดด, ลม, ดิน, น้ำ, พืชพันธ์, สัตว์) ด้วยวิธี Passive อย่างเต็มที่และใช้วิธี Active เท่าที่จำเป็น” (Daniels, K. 1995)
ถ้าหากจะมองหลักการของ Passive design ในสมัยทศวรรษที่ 70 ที่เทคโนโลยีอาคารยังไม่เจริญนัก ให้เป็นแม่แบบของอาคารสีเขียว จะพบว่าการออกแบบให้ตอบรับกับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบายยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบอาคารสีเขียว เพียงแต่เป้าหมายมิใช่เพียงแค่การลดการใช้พลังงานอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เป้าหมายของอาคารสีเขียวที่เพิ่มมาก็คือการผสมผสานองค์ความรู้จาก Passive design เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของศตวรรษที่ 20 ในการที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติที่สะอาด และไม่มีวันหมดโดยตรง ในอีกความหมายหนึ่งก็คืออาคารสีเขียวจะไม่พยายามเสนอแนะการลดการใช้พลังงานหากพลังงานนั้นมีความจำเป็นต่อการผลิตหรือการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่จะเสนอแนะให้อาคารใช้พลังงานจากแหล่งที่สะอาด และไม่มีวันหมดไป (renewable energy) ซึ่งในเบื้องต้น อาคารสีเขียวจึงจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้
1) ความสอดคล้องกับสภาพอากาศ
กฎเกณฑ์ข้อแรกของคำว่า “สถาปัตยกรรม” ที่สถาปนิกอาชีพล้วนได้เคยศึกษาเล่าเรียนมาจากโรงเรียน ล้วนจะต้องประกอบด้วยการออกแบบให้ตอบสนองต่อสภาพอากาศ (Climate Responsiveness) การสอดคล้องกับสภาพอากาศหมายถึงการออกแบบจัดวางพื้นที่ใช้สอยอาคาร ตามทิศทางแดด ทิศทางลมธรรมชาติ และการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างตกแต่งที่ทำให้ “อาคาร” น่าสบาย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ชื้น ไม่แห้งเกินไป ก่อนที่จะเริ่มอาศัยเครื่องจักรกลที่บริโภคพลังงาน ซึ่งหมายถึงการออกแบบ Passive Design นั่นเอง ซึ่งปัจจุบัน หลักการออกแบบให้ตอบสนองต่อสภาพอากาศในโรงเรียนสถาปัตยกรรมในประเทศไทย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเพียงการเรียนการสอนเพื่อให้รู้และท่องจำทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่ได้เน้นในวิชาปฏิบัติการออกแบบเท่าใดนัก สาเหตุส่วนหนึ่งคือการที่ทั้งอาจารย์และนักศึกษา สถาปัตย์ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาตร์อย่างเพียงพอที่จะเข้าใจวิธีการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพอากาศนั่นเอง
2) ความน่าสบาย
มีหลายครั้งที่ความพยายามประหยัดพลังงานอย่างไม่อาศัยสติปัญญา คือการงดใช้พลังงานทั้งทีจำเป็นต้องใช้ ซึ่งพบได้ทั่วไปในหน่วยงานราชการของรัฐ ก่อผลเสียตามมาที่ทำให้อาคารไม่น่าสบาย ร้อนเกินไป หนาวเกินไป แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดังรบกวน หรือคุณภาพอากาศภายในไม่สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักศึกษา แล้วยังมีผลเสียทางเศรษฐกิจจากการที่อาคารและอุปกรณ์อาคารมิได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ตามที่ได้ลงทุนก่อสร้างสูญเสียทรัพยากรลงไปตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้ องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมสีเขียวจึงต้องกำหนดให้อาคารมีการรักษาสภาวะน่าสบายของมนุษย์ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้
·สภาวะน่าสบายเชิงอุณหภาพ (Thermal comfort) ·แสงสว่าง (Visual/lighting comfort) ·เสียง (Acoustical comfort) ·คุณภาพอากาศภายใน (Indoor air quality: IAQ)
3) การใช้พลังงานธรรมชาติ
นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้อาคารบ้านเรือนเลือกใช้พลังงานจากแหล่งน้ำมันดิบที่ทำลายสภาพแวดล้อมดังกล่าวแล้ว สถาปัตยกรรมสีเขียวจึงมุ่งส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานจากธรรมชาติแหล่งอื่น ๆ มาแทนที่พลังงานสกปรก ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว พลังงานจากดวงอาทิตย์จำนวนมหาศาลได้เข้ามาสะสมบนโลก และรอให้ถูกนำมาใช้เพียงแต่การนำมาใช้อาจจะต้องอาศัยองค์ความรู้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้แหล่งพลังงานที่อาคารสามารถนำมาใช้ได้มักจะเป็นพลังงานที่หาทดแทนได้ (Renewable Energy) ซึ่งจะได้แก่
·พลังงานแสงอาทิตย์ (ด้วยการใช้รังสีจากดวงอาทิตย์เพื่อให้ความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้า) ·พลังงานจากน้ำ (จากการผลิตกระแสไฟฟ้า และการใช้เป็นแหล่งความร้อน/ความเย็น) ·พลังงานจากดิน (จากการสะสมความร้อนในดิน) ·พลังงานลม (จากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยตรงและการเพิ่มสภาวะน่าสบายด้วย ventilation) ·พลังงานจากพืชพันธ์ (จากการกันแดดและการระเหยของน้ำเพื่อสร้างความเย็น) ·พลังงานจากสัตว์ มูลสัตว์ (จากการสร้างพลังงานชีวมวล–Biomass)
ทางด้านอาคารสิ่งปลูกสร้าง ได้เกิดกระแสของสถาปัตยกรรมยั่งยืน (Sustainable Architecture) ขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “Embodied Energy” ที่มีการคำนึงถึงการใช้วัสดุก่อสร้างอาคารที่ใช้พลังงานน้อย ทั้งในแง่การผลิต (Production) การก่อสร้าง (Construction) และการย่อยสลาย (Disposition) แต่อย่างไรก็ดี Embodied energy มีสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับพลังงานที่อาคารใช้ตลอดช่วงอายุการใช้งาน และนอกจากนี้คำว่า “สถาปัตยกรรมยั่งยืน” ก็มีความหมายคลุมเครือ ไม่ชัดเจน และมีความขัดแย้งในตัวเองว่าสถาปัตยกรรมหรือสิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นต่างก็ไม่มีความยั่งยืนทั้งนั้น แต่หรือถ้ามี ก็ควรจะมีความยั่งยืนเพียงใด
ดังนั้นจึงเกิดคำว่า อาคารสีเขียว ขึ้นโดยได้นำเอาเรื่อง “เทคโนโลยีที่เหมาะสม” (Appropriate Technology) และแนวคิดการออกแบบ Passive Design (ทั้ง Passive Cooling และ Passive Solar Heating) ในสมัย 1970 เข้ามาประกอบด้วยอย่างชัดเจน โดยความหมายของ อาคารสีเขียวนี้ ก็คือ “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้อาคารสามารถใช้ประโยชน์จากสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติ (แสงแดด, ลม, ดิน, น้ำ, พืชพันธ์, สัตว์) ด้วยวิธี Passive อย่างเต็มที่และใช้วิธี Active เท่าที่จำเป็น” (Daniels, K. 1995)
ถ้าหากจะมองหลักการของ Passive design ในสมัยทศวรรษที่ 70 ที่เทคโนโลยีอาคารยังไม่เจริญนัก ให้เป็นแม่แบบของอาคารสีเขียว จะพบว่าการออกแบบให้ตอบรับกับสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบายยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบอาคารสีเขียว เพียงแต่เป้าหมายมิใช่เพียงแค่การลดการใช้พลังงานอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว เป้าหมายของอาคารสีเขียวที่เพิ่มมาก็คือการผสมผสานองค์ความรู้จาก Passive design เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของศตวรรษที่ 20 ในการที่จะใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติที่สะอาด และไม่มีวันหมดโดยตรง ในอีกความหมายหนึ่งก็คืออาคารสีเขียวจะไม่พยายามเสนอแนะการลดการใช้พลังงานหากพลังงานนั้นมีความจำเป็นต่อการผลิตหรือการอยู่อาศัยของมนุษย์ แต่จะเสนอแนะให้อาคารใช้พลังงานจากแหล่งที่สะอาด และไม่มีวันหมดไป (renewable energy) ซึ่งในเบื้องต้น อาคารสีเขียวจึงจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้1) ความสอดคล้องกับสภาพอากาศ
กฎเกณฑ์ข้อแรกของคำว่า “สถาปัตยกรรม” ที่สถาปนิกอาชีพล้วนได้เคยศึกษาเล่าเรียนมาจากโรงเรียน ล้วนจะต้องประกอบด้วยการออกแบบให้ตอบสนองต่อสภาพอากาศ (Climate Responsiveness) การสอดคล้องกับสภาพอากาศหมายถึงการออกแบบจัดวางพื้นที่ใช้สอยอาคาร ตามทิศทางแดด ทิศทางลมธรรมชาติ และการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างตกแต่งที่ทำให้ “อาคาร” น่าสบาย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ชื้น ไม่แห้งเกินไป ก่อนที่จะเริ่มอาศัยเครื่องจักรกลที่บริโภคพลังงาน ซึ่งหมายถึงการออกแบบ Passive Design นั่นเอง ซึ่งปัจจุบัน หลักการออกแบบให้ตอบสนองต่อสภาพอากาศในโรงเรียนสถาปัตยกรรมในประเทศไทย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเพียงการเรียนการสอนเพื่อให้รู้และท่องจำทฤษฎีเท่านั้น ยังไม่ได้เน้นในวิชาปฏิบัติการออกแบบเท่าใดนัก สาเหตุส่วนหนึ่งคือการที่ทั้งอาจารย์และนักศึกษา สถาปัตย์ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาตร์อย่างเพียงพอที่จะเข้าใจวิธีการออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพอากาศนั่นเอง
2) ความน่าสบาย
มีหลายครั้งที่ความพยายามประหยัดพลังงานอย่างไม่อาศัยสติปัญญา คือการงดใช้พลังงานทั้งทีจำเป็นต้องใช้ ซึ่งพบได้ทั่วไปในหน่วยงานราชการของรัฐ ก่อผลเสียตามมาที่ทำให้อาคารไม่น่าสบาย ร้อนเกินไป หนาวเกินไป แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดังรบกวน หรือคุณภาพอากาศภายในไม่สะอาดบริสุทธิ์ นอกจากจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร ประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักศึกษา แล้วยังมีผลเสียทางเศรษฐกิจจากการที่อาคารและอุปกรณ์อาคารมิได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ตามที่ได้ลงทุนก่อสร้างสูญเสียทรัพยากรลงไปตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้ องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมสีเขียวจึงต้องกำหนดให้อาคารมีการรักษาสภาวะน่าสบายของมนุษย์ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปนี้
·สภาวะน่าสบายเชิงอุณหภาพ (Thermal comfort) ·แสงสว่าง (Visual/lighting comfort) ·เสียง (Acoustical comfort) ·คุณภาพอากาศภายใน (Indoor air quality: IAQ)
3) การใช้พลังงานธรรมชาตินับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้อาคารบ้านเรือนเลือกใช้พลังงานจากแหล่งน้ำมันดิบที่ทำลายสภาพแวดล้อมดังกล่าวแล้ว สถาปัตยกรรมสีเขียวจึงมุ่งส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานจากธรรมชาติแหล่งอื่น ๆ มาแทนที่พลังงานสกปรก ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว พลังงานจากดวงอาทิตย์จำนวนมหาศาลได้เข้ามาสะสมบนโลก และรอให้ถูกนำมาใช้เพียงแต่การนำมาใช้อาจจะต้องอาศัยองค์ความรู้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้แหล่งพลังงานที่อาคารสามารถนำมาใช้ได้มักจะเป็นพลังงานที่หาทดแทนได้ (Renewable Energy) ซึ่งจะได้แก่
·พลังงานแสงอาทิตย์ (ด้วยการใช้รังสีจากดวงอาทิตย์เพื่อให้ความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้า) ·พลังงานจากน้ำ (จากการผลิตกระแสไฟฟ้า และการใช้เป็นแหล่งความร้อน/ความเย็น) ·พลังงานจากดิน (จากการสะสมความร้อนในดิน) ·พลังงานลม (จากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยตรงและการเพิ่มสภาวะน่าสบายด้วย ventilation) ·พลังงานจากพืชพันธ์ (จากการกันแดดและการระเหยของน้ำเพื่อสร้างความเย็น) ·พลังงานจากสัตว์ มูลสัตว์ (จากการสร้างพลังงานชีวมวล–Biomass)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น